เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ ธ.ค. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาดูภาวะจิตใจเขาก็ดูกันอย่างนี้ มีหลักหรือไม่มีหลัก สิ่งที่เป็นหลักก็ต้องเป็นหลัก เป็นหลักแล้วมันต้องอยู่กับหลักได้ ธรรมวินัยนี้เป็นหลักของเรา เราจะอยู่กับหลักของธรรมวินัย สิ่งที่ท่านบอกว่าเวลาถ้าคนมีธรรมนะ เวลาอ่อนนี่อ่อนไปตามธรรม เวลามีเหตุผลเป็นไปตามธรรม เวลามีเหตุการณ์ช่วยเหลือกัน มีการต้องพึ่งพาอาศัยกัน ก็ช่วยเหลือกันไปเป็นครั้งเป็นคราว ถึงที่สุดแล้วเราก็กลับมายืนในหลักการของเราได้ แต่ถ้าคนมีกิเลส เวลาเราให้ธรรมสิ่งใดๆ เวลาช่วยเหลือกันแล้วมันจะผูกพันกันไป มันจะติดพันกันไป แล้วมันจะไป แล้วมันจะย้อนกลับมาจุดยืนของตัวเองไม่ได้ มันจะเสียไป

นี่ก็เหมือนกัน เวลาท่านทำงานเราก็ช่วยเหลือท่าน ท่านทำทุกอย่างเราก็ช่วยเหลือ เราก็ดูแลไป แต่บางอย่างมันเป็นเรื่องของโยมเขา อย่างเช่นเรื่องการหล่อพระนี่เป็นเรื่องของโยมเขา เป็นเรื่องบุญกุศล เห็นไหม ดูอย่างท่านมาที่นี่ท่านบอกว่าที่มันต่ำ เวลาที่มันต่ำจะไปถมที่นะที่มันต่ำ ที่มันต่ำให้เป็นส่วนที่มันต่ำ แต่อย่าให้ใจมันต่ำ ใจมันต้องสูงขึ้น ยกสภาวะของใจให้สูงขึ้น

นี่ก็เหมือนกัน ภาวะของการทำบุญกุศล เรื่องอามิสศรัทธาเป็นเรื่องของโยมเขา เรื่องของพระมันต้องย้อนกลับมาทำเรื่องของใจ ทำเรื่องการภาวนาของใจ ให้ยืนในหลักของเราให้ได้ ทำเข้ามาตอนนี้ เราถึงว่ามันต้องดูกาลเทศะ เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ ถ้าโยมไปก็คือโยมไป ถ้าโยมไม่ไปก็คือเรื่องโยมไม่ไป

ทีนี้การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัตินะ ว่าเราจะได้ขั้นภูมิไหนก็แล้วแต่ เราจะมีความรู้ความเห็นของเราขนาดไหน อันนั้นเป็นความเห็นของเรา ความเห็นของเรากับสัจจะความจริงมันเป็นคนละอันกัน ถ้าสัจจะความจริง การปลูกบ้านปลูกเรือน การก่อสร้างตึกยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งตึกร้อยชั้นพันชั้นขึ้นมา รากฐานต้องสำคัญที่สุดเลย รากฐานของตึก เสาเข็ม คานคอดินอันนี้ มันจะรับภาระน้ำหนักได้ขนาดไหน โครงสร้างมันจะมีความสำคัญมาก

การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิถ้ามีพื้นฐานของศีล มีพื้นฐานของสมาธิ มันจะถือว่ารับโครงสร้างของมรรคผลนิพพานได้ ถ้าไม่มีโครงสร้างของมรรคผลนิพพานนี่ทำกันไปนะ ความคิดของเราไป เตลิดเปิดเปิงตามความเห็นของตัวว่าตัวเองทำแล้วมีความเห็นต่างๆ รู้ภาวะต่างๆ รู้สิ่งต่างๆ

ความรู้นะ นี่เรื่องของอภิญญา หูทิพย์ตาทิพย์นี้ไม่ใช่เรื่องการชำระกิเลส จะรู้สิ่งต่างๆ จะรู้ภาวะแปลกประหลาดมหัศจรรย์ขนาดไหน รู้ไปเถิด รู้ไปแล้วมันเรื่องของโลกียะ รู้แล้วมันก็เสื่อมสภาพมันไม่เป็นความคงที่หรอก แต่เวลามันรู้ขึ้นมานี่มีความยึดมั่นถือมั่นนะว่าเรามีความรู้ต่างๆ เรามีความเห็น เรารู้วาระจิต เรารู้เหตุการณ์ล่วงหน้า มันจะทำให้หัวใจยึดมั่นถือมั่นในความเห็นของตัว มันจะจองหองพองขนในหัวใจของมัน มันจะยึดมั่นถือมั่น อันนี้เป็นธรรมหรือเป็นกิเลส?

ถ้าเป็นธรรมมันต้องละความยึดมั่นถือมั่น มันต้องมีความสุข มันต้องมีความปล่อยวาง แต่ถ้าการยึดว่าเรารู้ เราเก่ง เราฉลาด เป็นไปไม่ได้เลย ถ้ารู้ว่าเราเก่ง เราฉลาด นั้นล่ะมันเป็นเรื่องของการที่ว่ามันไปคว้าเอาสิ่งที่ภาวนาส่งออก ออกไปรับรู้สิ่งต่างๆ แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นว่าเรารู้เราเห็น แต่มันไม่ใช่รู้เห็นตามสัจจะความจริง ถ้ารู้เห็นตามสัจจะความจริงนะ พระเทวทัตรู้ดีกว่านี้อีก พระเทวทัต เห็นไหม ทำเป็นงูไปพันหัวพระอชาตศัตรู เหาะเหินเดินฟ้าพระเทวทัตก็ทำได้ ทำไมพระเทวทัตคิดขนาดที่ว่าจะทำร้ายฆ่าพระพุทธเจ้าได้ล่ะ?

นี่ถ้ามันไม่ใช่ธรรมมันจะเป็นแบบนั้น ไม่ใช่ธรรมมันเป็นความรู้ความเห็น แล้วยึดมั่นถือมั่น ความยึดมั่นถือมั่นของตัวว่าตัวรู้ ตัวเห็น ตัวเก่ง ตัวฉลาด มันเป็นกิเลส มันเป็นความเห็นที่ยึดมั่นถือมั่น มันไม่เป็นความจริงเลย ถ้ามันจะเป็นความจริง เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าต้องมีสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ ความเห็นชอบ ความเพียรชอบ การระลึกชอบ ความระลึกชอบต้องมีสติสัมปชัญญะชอบ ถึงต้องกลับมาพุทโธไง

จะรู้เห็นฉลาดขนาดไหนรู้ไปเถิด ไม่มีความหมายหรอก เอ็งรู้ไปขนาดไหนเอ็งก็ทำให้เอ็งจองหองพองขนไปในความรู้ความเห็นของตัว แล้วว่าอันนี้เป็นนิพพาน นิพพานคือความรู้วาระจิต ความรู้ต่างๆ อภิญญาต่างๆ นี้ไม่ใช่การชำระกิเลส การชำระกิเลสคือการถอนตัวตน ถอนอัตตาความเห็นของตัว ถอนความเห็นของตัวจากภายใน ถอนอันนี้ออกมาต่างหาก แล้วถอนออกมาแล้ว นี่สุกขวิปัสสโก พระอรหันต์ที่ว่าดูอย่างพระจักขุบาล พระจักขุบาลเป็นพระอรหันต์นะ นี่เป็นพระอรหันต์แต่เป็นสุกขวิปัสสโก

พระอรหันต์ออกไปชนบท ออกไปในป่า ไปภาวนาจนตาแตก พอตาแตก พระอรหันต์กลับไม่ได้ กลับบ้านไม่ได้ ต้องให้พระอรหันต์ด้วยกันไปบอกญาติโยม ไปบอกลุง ลุงก็เลยไปเอาหลานมาบวชเป็นเณร แล้วให้หลานไปจูงพระจักขุบาลกลับมาจากในป่านั้นกลับมาวัด นี่กลับมาวัดแล้วมาเดินจงกรมอยู่ มาเดินจงกรมอยู่เพราะว่าเป็นพระอรหันต์ เดินจงกรมอยู่ ใช้ความเพียรวิหารธรรมอยู่ เหยียบสัตว์ตาย เหยียบอะไรตาย นั่นน่ะเป็นพระอรหันต์ แต่ความเห็นเรื่องของโลกมันก็เป็นเรื่องของโลก เรื่องอภิญญา นี่สุกขวิปัสสโก ไม่มีสิ่งนี้ก็ไม่มีสิ่งนี้

พระอนุรุทธะ เห็นไหม พระพุทธเจ้าปรินิพพานอยู่ พระอนุรุทธะนั่งอยู่ด้วย จนเห็นว่าพระพุทธเจ้านิ่งเงียบไปแล้ว จนพระที่อยู่ด้วยกันถามว่า

“ไม่ใช่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วหรือ?”

พระอนุรุทธะบอกว่า “ยัง ตอนนี้พระพุทธเจ้าเข้าตั้งแต่ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌานขึ้นไป ขึ้นไปเรื่อยๆ จนอากาสานัญจายตนะ แล้วย้อนกลับ”

นี่ปากก็พูดไปนะ พูดกับพระทั่วไป แต่ใจรู้ไปหมดเลย เพราะว่าผู้ที่มีนี่มีโดยธรรมชาติ เหมือนเรามีตาเราจะเห็นสิ่งต่างๆ เลย คนถ้าไม่มีตาก็จะมองเห็นสิ่งนั้นไม่ได้ แต่เราจะบอกอย่างนั้นได้ นี่อภิญญาจะมีได้ต่อเมื่อเป็นบางองค์ มีบางองค์รู้สิ่งนี้ได้ รู้สิ่งนี้ได้ ถ้าทุกอย่างต้องรู้อภิญญาหมดถึงชำระกิเลสแล้ว พระจักขุบาลจะเป็นพระอรหันต์ได้ไหม? ในเมื่อพระจักขุบาลไม่มีอะไรเลย พระจักขุบาลขนาดเดินกลับมาต้องให้หลานไปพากลับมา

นี่พระอรหันต์เหมือนกัน ใจนี้บริสุทธิ์เหมือนกัน พ้นจากกิเลสเหมือนกัน แต่ไม่รับรู้สิ่งต่างๆ เรื่องอภิญญา เรื่องรู้วาระจิต เรื่องอะไร ไม่รู้เลย ไม่รู้สิ่งนั้นเลย มันไม่ใช่เรื่องจำเป็น มันไม่ใช่เรื่องว่าสิ่งนี้มันเป็นหลักการ หลักการของเราคือความดำริชอบ ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความชอบอันนี้จะย้อนกลับมาชำระกิเลส กิเลสจากภายใน แล้วเวลามรรคเกิดขึ้นมา คนไม่เคยประพฤติปฏิบัติมันจะไม่เคยมีมรรค ถ้าไม่เคยมีมรรคจะไม่เคยมีผล ถ้าพูดถึงมรรคไม่มี นี่พระพุทธเจ้าบอกกับสุภัททะนะ

“สุภัททะ เธออย่าถามให้มากไปเลย ในศาสนาต่างๆ ในลัทธิต่างๆ ก็ว่าของเขาดีเยี่ยมๆ ของใครก็ว่าของเขาดีเยี่ยม” แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า “ถ้าศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนาไหนไม่มีผล” แล้วมรรคมันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

มรรคของเรา เราก็ดูความเห็น ดูในตำรา การเลี้ยงชีวิตชอบ เห็นไหม ความระลึกชอบเป็นมรรค แล้วเราก็มาเลี้ยงชีวิตชอบของเรา อันนี้เป็นมรรค โลกียะเป็นมรรคความเห็นของเรา มรรคที่ว่าความประพฤติปฏิบัติชอบ มันเป็นชอบส่วนหนึ่ง มันเข้ากับมรรคได้ เข้ากับมรรคส่วนนั้น แต่มรรคส่วนนี้มันเป็นมรรคที่ว่าเรายืมมา นี่เงินในธนาคาร เราผ่านเข้าไปในธนาคารเห็นธนาคารเงินเต็มเลย เงินของใคร? คือเงินของธนาคารไม่ใช่เงินของเรา

นี่มรรค ผล นิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกนี่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดเลย แล้วเราก็ไปอ่านมา มรรคอย่างนั้นๆ เราก็พยายามจะเลียนแบบให้ได้อย่างนั้น การเลียนแบบ การดัดตน...นี่มันไม่ผิดถ้าเราจะเริ่มต้นจากการศึกษาเล่าเรียน เราดัดแปลงตนของเราไป ในเมื่อเราต้องเวียนตายเวียนเกิด เราก็สร้างสมของเราขึ้นมาคุณงามความดี เราพยายามดัดแปลงตนให้การเลี้ยงชีวิตชอบมันอยู่ในบุญกุศล แต่อย่างนี้มันเป็นของยืมมา เพราะมันไม่เกิดจากภาวะของใจ

ถ้ามรรคที่เกิดจากภาวะของใจ เห็นไหม เวลาเรามีความสบายใจ นี่เรามีความสบายใจมากเลย ถ้าคนทำสมาธิมันจะมีความว่างแบบนั้น แต่มันไม่ใช่มีความสบายใจอย่างนั้น ความสบายใจอย่างนี้มันเกิดขึ้นเอง มันเป็นสิ่งที่ว่ามันเกิดขึ้นเอง แล้วมันก็ปล่อยวางเอง แล้วเดี๋ยวมันก็กลับมาฟุ้งซ่านอย่างเก่า กลับมาความคิดมันจะโผล่ขึ้นมา ในความเห็นของเรามันจะควบคุมไม่ได้ ถึงต้องมีพุทโธไง มีพุทโธ พุทโธ พุทโธ มีพุทโธเพื่อสติสัมปชัญญะ เพื่อยับยั้งสิ่งนี้ไง

นี่ความสบายใจอันนั้นเหมือนกับมันเป็นการปล่อยวางอารมณ์ต่างๆ มันก็เป็นความสบายใจเข้ามา แต่สัมมาสมาธิเราควบคุมการปล่อยวางเข้ามา เราจับต้อง เราควบคุมได้ เราบังคับบัญชาได้ ความที่ต้องปล่อยวาง เรากำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธแล้วจิตมันจะสงบเข้ามา มันเป็นไปบางครั้งบางคราว บางครั้งบางคราวเพราะสติสัมปชัญญะเราทันไง เราจะควบคุมสิ่งนี้ได้ ถ้าควบคุมสิ่งนี้ได้มันจะเป็นสัมมาสมาธิ แต่กิเลสในหัวใจ พอเราเริ่มตั้งสมาธิมันก็ยิ่งฟุ้งซ่าน มันยิ่งต่อต้าน มันยิ่งหาทางออกของมัน นี่กิเลสมันจะดิ้นรนของมันจากภายใน

นี่ตรงนี้ไงที่ทำสมาธิได้ยาก ทำสมาธิได้ยากเพราะว่าความต่อต้านของกิเลส กิเลสภายในมันต่อต้านออกมา เราถึงควบคุมสัมมาสมาธิไม่ได้ ถ้าเราควบคุมสัมมาสมาธิไม่ได้ นี่สัมมาสมาธินี้เป็นหนึ่งในมรรค ๘ มรรคจะเกิดเกิดอย่างนี้ มรรคจะเกิดเกิดจากเรา เกิดจากใจของเราเป็นสัมมาสมาธิ ความเป็นสมาธิมันเกิดสติสัมปชัญญะขึ้นมา สติถูกต้อง สัมมาสติเกิดขึ้น นี่ความเพียรดัดแปลงใจขึ้นมา นี่มรรคมันเกิดอย่างนี้ แล้วอย่างที่เขาพูดกันว่าเขารู้วาระจิต เขารู้สิ่งต่างๆ เขารู้มหาศาล นี่เขารู้อะไร?

เขายังไม่รู้ตัวเขาเองเลย เขาไม่สามารถตั้งสัมมาสมาธิได้ เขาไม่เคยควบคุมสมาธิได้ ทีนี้สิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่รู้ขึ้นไปมันรู้ไปโดยธรรมชาติ รู้โดยที่ว่ามันหมุนส่งออกไป มันส่งออกไป เพราะถ้าเขารู้สิ่งนั้นได้เขาต้องบังคับบัญชาได้ใช่ไหมว่าอยากรู้สิ่งนั้น ต้องการเพ่งดูตรงนั้น ใครคิดอย่างไรเขาต้องจี้เข้าไปตรงนั้นได้ เพราะเขาควบคุมใจของเขาได้ ในเมื่อเขาควบคุมใจเขาไม่ได้ สิ่งนั้นเกิดขึ้นนั่นเป็นมรรคไหม? มันไม่ใช่มรรค มันไม่ใช่การเกิดขึ้นจากการที่เราสร้างขึ้นมาเป็นสิ่งที่เป็นสมบัติของเรา

อย่างที่ว่าเงินของเรา มรรคที่เราศึกษามาเป็นมรรคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่ยืมมา สิ่งที่ยืมมาไม่ใช่ของเรา เราควบคุมไม่ได้ เหนือความควบคุมของเรา สิ่งที่เกิดขึ้นจากเรา เราฝึกฝนขึ้นมาจนเกิดแล้วเราควบคุมของเราได้ เราควบคุมมรรคของเราได้ เราควบคุมได้ เราจัดแจงได้ เราวิปัสสนาได้ นั้นคือมรรคของเรา

นี่ถ้ามรรคอย่างนี้เกิดขึ้นมา มันถึงว่ามรรคเกิดขึ้นจากในหัวใจของเรา เป็นมรรคส่วนบุคคล มรรคของใจดวงนี้สร้างสมขึ้นมาได้ มรรคที่เกิดขึ้นสร้างสมขึ้นมาได้มันจะเริ่มแยกแยะออกมา ยกขึ้นสติปัฏฐาน ๔ ได้ ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม แยกแยะสิ่งนี้ได้ นี้ถึงเป็นการชำระกิเลส นี่ถึงจะเข้าเป็นอริยภูมิไง ถึงจะเข้าถึงมรรคผลนิพพานไง แล้วที่เขาคุยกันเขาพูดกันมันไกลมาก มันตกอยู่คนละฟากของการเป็นสัมมาเลย มันเป็นมิจฉาทั้งหมดเลย

ฉะนั้น ถ้าเป็นมิจฉาคือว่าความเห็นผิด สิ่งที่ทำอยู่นั้นเป็นความเห็นผิด แต่ตัวเองเข้าใจว่าอันนี้เป็นของตัวเอง เป็นสมบัติของตัว แล้วก็ยึดว่าตัวเองรู้ ตัวเองเก่ง แล้วพอว่าตัวเองรู้ ตัวเองเก่ง จะกลับมาพุทโธ พุทโธไม่ได้นะ ฉันภาวนาขนาดนี้จะให้กลับมาพุทโธอีกหรือ กลับมาพุทโธ กลับมาที่สัมมาสมาธิ กลับมาที่ตั้งมั่น กลับมาที่บาทฐาน กลับมาที่รากฐานของตึก กลับมาที่รากฐานของเสาเข็มที่จะสร้างสมตึกขึ้นมา เอ็งจะไปเล่นว่าว เขาเล่นว่าวกันอยู่บนอากาศ ชักว่าวกัน ถ้าเชือกขาดเมื่อไหร่ ว่าวมันก็ตกดินเมื่อนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ไปลูบคลำความเห็นของตัวที่ส่งออกไปในอากาศ ไปดูว่าวอยู่ในกลางอากาศ ถ้าว่าวขาดเมื่อไหร่หัวมันก็ปักดิน หัวมันต้องปักดินแล้วมันจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แล้วมันก็เสื่อมสภาพไป สิ่งนั้นเป็นเรื่องของเขา นี่พูดถึงว่าถ้าความเห็นของเขามันเป็นอย่างนั้น ถ้าความเห็นเป็นอย่างนั้นปล่อยเขาไป ปล่อยเขาไปไม่ต้องไปยุ่ง ปล่อยไปเลย ความเห็นคือทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็นถ้ามันต่างกันแล้วมันไม่เชื่อกันหรอก แล้วถ้ามันไม่เชื่อกัน สิ่งที่เป็นกระแส โลกปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร?

ดูอย่างพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะไปบอกสัญชัย บอกสัญชัยว่า “เจอพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าสอนเรื่องอริยมรรค นี่ไปหาพระพุทธเจ้า ไปอยู่กับพระพุทธเจ้าเถอะ”

สัญชัยบอกเลย “ในโลกนี้คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก?”

พระสารีบุตรบอกว่า “ในโลกนี้คนโง่มาก คนฉลาดน้อยกว่า”

“ถ้าจะไปอยู่กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องอริยมรรค เป็นเรื่องของผู้ที่มีปัญญา เป็นปัญญาชนถึงจะเข้าถึงได้ ผู้ที่ฉลาดมีน้อย ถ้าจะไปอยู่กับพระพุทธเจ้าไปเถิด แต่เราอยากอยู่กับคนโง่ เพราะคนโง่มันสอนง่าย”

นี่สัญชัยไม่มา อยู่ในพระไตรปิฎก เราไม่ได้พูดขึ้นมาลอยๆ เรื่องนี้อยู่ในพระไตรปิฎกเป็นหลักฐานขึ้นมาเลย นี่โลกนี้คนโง่มาก คนโง่มากมันก็ต้องตามกระแส แล้วกระแสเขาว่าถ้าใครรู้เห็นอะไรแปลกๆ คนนั้นเก่ง คนนั้นยอด แล้วเขาก็ยกยอปอปั้นกัน นั้นคือกระแสของเขา เขาติดในกระแสของเขา เขาไปตามกระแสของเขา ปล่อยเขาไปอย่าไปยุ่งกับเขา

เราอยู่ในเรื่องของเรา เราอยู่ในเรื่องของมรรค เราอยู่ในเรื่องของความถูกต้อง เราอยู่ของเรา แล้วเราสร้างสมของเราขึ้นไป เราสร้างสมทำได้เท่าที่ทำได้ ใครจะเป็นอย่างไรเป็นไปตามแต่กรรมของสัตว์โลก สัตว์โลกต้องเป็นไปตามกรรมอย่างนั้น อย่าไปยุ่ง ปล่อยไปตามกรรม เอวัง